ในการเขียนงานวิชาการทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นงานวิจัย รายงาน 5 บท หนังสือวิชาการ หรือบทความวิชาการ เป็นต้น
เราไม่สามารถที่จะนำองค์ความรู้ที่เป็นของเราคนเดียว นำมาเขียนเป็นงานวิชาการดังที่กล่าวมาแล้วได้
เราต้องนำองค์ความรู้ของบุคคลอื่นๆ มาเขียนด้วย ซึ่งองค์ความรู้ของบุคคลอื่นๆ นั้น จะมีมากกว่าของเรา
เมื่อเปรียบเทียบกับการเขียนบันทึกส่วนตัว บันทึกการท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ เราไม่ต้องอ้างอิงองค์ความรู้ของใคร เพราะ เราเขียนด้วยความรู้ของเราล้วนๆ
เมื่อนำ “ความรู้” ของคนอื่นมาเขียนใส่ในงานวิชาการหรือบทความของเรา เราจึงต้องบอกด้วยว่า “ความรู้” นั้น เรานำมาจากไหน
ด้วยเหตุผล 3 ประการคือ
1) ถ้าผู้อ่านต้องการจะอ่านเพิ่มเติมในรายละเอียด ผู้อ่านจะได้ค้นคว้าได้สะดวก
2) ผิดกฎหมาย
3) ไม่ได้คะแนน
“สิ่ง” ที่เราเขียนลงไปตรงนี้คือ เชิงอรรถอ้างอิง
ในบางครั้ง เราต้องการอธิบาย “คำ” บางคำ หรือ “ประโยค” บางประโยค แต่ข้อความในส่วนนี้ ไม่ใช่เนื้อหาของบทความ แต่เป็นรายละเอียดเพิ่มเติม
เราจึงต้องนำไปเขียนที่ในส่วนท้ายของหน้ากระดาษ โดยจะขีดเส้นยาว 2 นิ้วกั้นระหว่างเนื้อหาของบทความกับคำอธิบายนี้
“สิ่ง” ที่เราเขียนลงไปตรงนี้คือ เชิงอรรถอธิบาย
ในบางครั้ง เราต้องการอธิบายเนื้อหาของเราเพิ่มเติม แต่ไม่สามารถเขียนลงไปในบทความได้ เพราะ สิ่งที่เราต้องการอธิบายนั้น มีเนื้อมาก
เราจึงต้องนำไปเขียนที่ในส่วนท้ายของหน้ากระดาษ โดยจะขีดเส้นยาว 2 นิ้วกั้นระหว่างเนื้อหาของบทความกับคำอธิบายนี้
“สิ่ง” ที่เราเขียนลงไปตรงนี้คือ เชิงอรรถโยงความ
การที่จะเขียนเชิงอรรถอ้างอิง เชิงอรรถโยงความ และเชิงอรรถขยายความลงไปในบทความวิชาการของเรานั้น เป็นระเบียบที่กำหนดขึ้นโดยผู้มีอำนาจ จึงรบกวนการเขียนบทความของเรา
การเขียนเชิงอรรถโยงความ รวมถึงการเขียนเนื้อหาในส่วนนั้นๆ ผมชอบที่จะเรียกว่า การเขียนอ้างอิง
บทความในชุดนี้จะอธิบายการเขียนประเด็นต่างๆ เหล่านั้นทั้งหมด เมื่อท่านผู้อ่าน อ่านบทความชุดนี้จบแล้ว คงจะสามารถนำองค์ความรู้ไปเขียนบทความของท่านได้...
เป็นขั้นตอนที่น่ารำคาญที่สุดในการทำวิจัยเลยก็ว่าได้ครับ
ตอบลบ